นิทานพหุปัญญา
การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain Based Learning) คือ วิธีการที่ใช้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของสมองมาใช้
พัฒนากระบวนการเรียนรู้เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับการพัฒนาของสมอง ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนเกิดศักยภาพสูงสุดตาม
ความสามารถของแต่ละคน ซึ่งช่วงวัยที่ดีที่สุดในการพัฒนาสมองตามแนวคิดนี้คือในช่วงวัยตั้งแต่ แรกเกิดจนถึงช่วงอายุ 7 ขวบ
หรือบางทีอาจจะถึง 10 ขวบเลยก็เป็นได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆอีกหลายประการ เช่น การได้รับสารอาหารที่สมบูรณ์เพียงพอ
การปฏิสัมพันธ์ทางสังคม การเล่นหรือการได้รับสิ่งกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอยากเรียนรู้ และรวมไปถึงภาวะความเครียดและ
ความวิตกกังวลอีกด้วย
ในระบบการจัดการศึกษานั้น ช่วงวัยที่ดีที่ควรจัดการศึกษารูปแบบนี้ควรอยู่ในระดับปฐมวัยและระดับประถมศึกษา BBL
มีความสอดคล้องกันมากกับทฤษฎีพหุปัญญา (Theory of Multiple Intelligences) ของ ดร.โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Garder)
นักจิตวิทยาพัฒนาการ ที่ได้แบ่งปัญญาของมนุษย์ออกเป็นอย่างน้อย 8 ด้าน ด้วยกัน คือ ด้านภาษา ด้านตรรกะและคณิตศาสตร์
ด้านมิติสัมพันธ์ ด้านดนตรี ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว ด้านความเข้าใจตัวตน ด้านมนุษย์สัมพันธ์ และด้านรอบรู้ธรรมชาติ
ซึ่งทุกคนจะมีปัญญาทั้ง 8 ด้าน แต่จะมากหรือน้อย ในแต่ละด้านแตกต่างกันไป ทำให้แต่ละคนมีการเรียนรู้และพัฒนาสติปัญญา
ในรูปแบบที่แตกต่างกันตามความถนัดและความสนใจอีกด้วย ดังนั้น ครูผู้สอนและผู้ปกครองควรตระหนักในความแตกต่าง
ทางด้านปัญญาและพัฒนาการของเด็กเพื่อที่จะส่งเสริมความสามารถของเด็กให้ได้เต็มศักยภาพ
หมายเหตุ : ปัจจุบันตามงานวิจัย พหุปัญญาได้แบ่งเป็นอย่างน้อย 9 ด้าน ด้านที่ 9 คือด้านการคิดใคร่ครวญ
1. ด้านภาษา ( เรื่อง : นานา ดีใจ / นานา มาทะเล )
เสริมสร้างพหุปัญญาด้านภาษา (Linguistic Intelligence) เด็กที่มีพัฒนาการทางด้านภาษาดี จะมีนิสัยรักการอ่าน
ชอบเขียน ชอบพูด สามารถเล่าเรื่องต่างๆได้ดี ดังนั้น การเสริมสร้างปัญญาด้านภาษา โดยให้เด็กฝึกอ่านได้ด้วยตนเอง
โดยเริ่มจากคำที่อ่านง่าย เน้นเพียงการประสมพยัญชนะและสระจะช่วยให้เด็กสนุกกับการเรียนรู้คำและภาษาได้ง่าย และรวดเร็วขึ้น
2. ด้านคณิตศาสตร์ ( เรื่อง : นานา เก็บของเล่น / นานา ออมเงิน )
เสริมสร้างพหุปัญญาด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ (Logical-Mathematical Intelligence) เด็กที่มีพัฒนาการทางด้านตรรกะ
และคณิตศาสตร์ดี จะทำอะไรที่เป็นระบบระเบียบตามขั้นตอน มีทักษะในการใช้เหตุผลชอบทดลองแก้ปัญหา สนุกกับการ
คิดคำนวณตัวเลข ดังนั้น การเสริมสร้างปัญญาด้านคณิตศาสตร์โดยเล่านิทานที่ส่งเสริมให้เด็กรู้จักใช้ความคิดที่เป็นระบบ
รู้จักลำดับก่อนหลัง สอดแทรกความรู้เกี่ยวกับตัวเลขและการคิดคำนวณ จะช่วยให้เด็กเข้าใจคณิตศาสตร์ได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
3. ด้านมิติสัมพันธ์ ( เรื่อง : นานา ทำขนมบัวลอย / นานา ชอบผักและผลไม้ )
เสริมสร้างพหุปัญญาด้านมิติสัมพันธ์ (Spatial Intelligence) เด็กที่มีพัฒนาการทางด้านมิติสัมพันธ์ดีจะมีความสามารถในการรับรู้
ทางสายตาได้ดี ไวต่อการรับรู้ในเรื่องทิศทาง สามารถมองและถ่ายทอดเกี่ยวกับพื้นที่ รูปทรง ระยะทาง และตำแหน่ง ได้โดย
มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน ดังนั้น การเสริมสร้างปัญญาด้านมิติสัมพันธ์ โดยเล่านิทานที่ให้เด็กเรียนรู้เรื่องสี ศิลปะ และทิศทาง
สนับสนุนให้เด็กใช้จินตนาการประกอบกิจกรรมเกี่ยวกับเนื้อเรื่องที่ได้ฟัง จะช่วยให้เด็กเรียนรู้ เข้าใจและประยุกต์ใช้ความรู้เกี่ยวกับ
มิติสัมพันธ์ได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
4. ด้านดนตรี ( เรื่อง : นานา ร้อง โด เร มี / นานา รักดนตรี )
เสริมสร้างพหุปัญญาด้านดนตรี (Musical Intelligence) เด็กที่มีพัฒนาการทางด้านดนตรีดี จะแยกแยะเสียงต่างๆ รู้จักท่วงทำนอง
เรียนรู้จังหวะดนตรีได้ดี ดังนั้น การเสริมสร้างปัญญาด้านดนตรีโดยเล่านิทานที่ส่งเสริมให้เด็กรักเสียงดนตรี ทำความรู้จักกับ
เครื่องดนตรีไทยและสากล รู้จักวิธีการเล่นพื้นฐานของเครื่องดนตรี เรียนรู้ลำดับตัวโน๊ตและเสียงสูงต่ำ ให้เด็กสนุกกับการ
พูดประโยคและออกเสียงตัวโน้ตตาม หรืออาจประกอบการเล่านิทานด้วยการเคาะจังหวะหรือเครื่องดนตรีไปพร้อมๆกัน
จะช่วยให้เด็กเข้าใจดนตรีได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
5. ด้านร่างกาย ( เรื่อง : นานา ออกกำลัง / นานา เต้นรำ )
เสริมสร้างพหุปัญญาด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว (Bodily-Kinesthetic Intelligence) เด็กที่มีพัฒนาการทางด้านร่างกาย
และการเคลื่อนไหวดี จะชอบการเคลื่อนไหวร่างกาย ไม่อยู่นิ่ง ชอบเล่นกีฬา เต้นรำ หรือทำงานประดิษฐ์ ดังนั้น การเสริมสร้าง
ปัญญาด้านร่างกาย โดยเล่านิทานที่ส่งเสริมให้เด็กใช้ร่างกายและการเคลื่อนไหวรูปแบบต่างๆในกิจกรรมประจำวัน สอดแทรก
ให้ได้รับประสบการณ์ตรง โดยการปฏิบัติจริงจะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการทางด้านร่างกายได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
6. ด้านเข้าใจตัวตน ( เรื่อง : นานา เด็กดี / นานา ไม่กลัว )
เสริมสร้างพหุปัญญาด้านเข้าใจตัวตน (Intrapersonal Intelligence) เด็กที่มีพัฒนาการทางด้านเข้าใจตัวตนดี จะมีความสามารถ
ในการรู้จักตัวตนของตนเอง รู้เท่าทันความคิดตนเอง รู้ถึงข้อบกพร่องและจุดเด่นของตนเอง ควบคุมการแสดงออกได้เหมาะสม
ตามกาลเทศะ รู้ว่าเมื่อใดควรเผชิญหน้า เมื่อใดควรหลีกเลี่ยง เมื่อใดควรขอความช่วยเหลือ ดังนั้น การเสริมสร้างปัญญา
ด้านเข้าใจตัวตน โดยเล่านิทานที่ให้เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตนที่เหมาะสม สอดแทรกและปลูกฝังให้เด็กมีสติ มีสมาธิในการ
ทำกิจกรรมต่างๆ จะช่วยให้เด็กเรียนรู้เข้าใจตัวตน ปฏิบัติตนได้อย่างเหมาะสม และมีความสุขในการดำเนินชีวิต
7. ด้านมนุษยสัมพันธ์ ( เรื่อง : นานา ชอบไปโรงเรียน / นานา จัดงานวันเกิด )
เสริมสร้างพหุปัญญาด้านมนุษย์สัมพันธ์ (Interpersonal Intelligence) เด็กที่มีพัฒนาการทางด้านมนุษย์สัมพันธ์ดี จะมีความสามารถ
ในการเข้าใจผู้อื่น ชอบเข้าสังคม เข้ากับผู้อื่นได้ง่าย มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ดีดังนั้น การเสริมสร้างปัญญาด้านมนุษย์สัมพันธ์
โดยเล่านิทานที่ให้เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตนในการเข้าสังคม และทำกิจกรรมต่างๆร่วมกับผู้อื่น ได้อย่างเหมาะสมและประทับใจ
จะช่วยให้เด็กเรียนรู้ เข้าใจผู้อื่น ปฏิบัติตนได้อย่างเหมาะสมและอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข
8. ด้านธรรมชาติ ( เรื่อง : นานา เปียกฝน / นานา กับหนอนหนังสือ )
เสริมสร้างพหุปัญญาด้านธรรมชาติ (Naturalistic Intelligence) เด็กที่มีพัฒนาการทางด้านรอบรู้ธรรมชาติดี จะมีลักษณะนิสัย
สนใจในสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติรอบตัว และวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ชอบปลูกต้นไม้ ชอบเลี้ยงสัตว์ มีความรู้สึกที่ไวต่อการ
เปลี่ยนแปลงของอากาศดังนั้น การเสริมสร้างปัญญาด้านรอบรู้ธรรมชาติโดยเล่านิทานที่ให้เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติรอบตัว
และจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ที่สอดคล้องกับเนื้อเรื่องที่ได้ฟัง จะช่วยให้เด็กเรียนรู้และเข้าใจธรรมชาติได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
ความคล้ายคลึงของแนวคิดการเรียนรู้ใช้สมองเป็นฐาน (BBL) กับทฤษฎีพหุปัญญา(MI) นี้ก็คือ การคำนึง ถึงความแตกต่าง
ของแต่ละบุคคล โดยความแตกต่างนั้นจำเป็นที่จะต้องจัดสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ให้มีความหลากหลายตามไปด้วย
เพื่อให้ทุกกลุ่มสามารถเรียนรู้ได้อย่างดี และมีประสิทธิภาพตามความสามารถที่พึงมีของแต่ละคน
ความคิดเห็น